‘ปริญญา’ ชี้ คฝ. ยิงกระสุนยางประทับบ่าใส่ม็อบ ขัดกติกา UN

‘ปริญญา’ ชี้ คฝ. ยิงกระสุนยางประทับบ่าใส่ม็อบ ขัดกติกา UN

อ.ปริญญา ชี้ เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ยิงกระสุนยางประทับบ่าใส่ม็อบ ขัดกติกา UN ชี้นายกฯต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดกติกา UN นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก กรณีที่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. ยิงกระสุนยางประทับบ่าใส่ม็อบ ถือเป็นการการกระทำที่ไม่สอดคล้องของกติกาของสหประชาชาติ หรือ UN

โดยข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า 

“แนวปฏิบัติของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในเรื่องการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย (Guidance on less-lethal weapons in law enforcement) ได้กำหนดวิธีการใช้ #กระสุนยาง ไว้ที่ข้อ 7.5.2 ว่า “Kinetic impact projectiles should generally be used only in direct fire with the aim of striking the lower abdomen or legs of a violent individual and only with a view to addressing an imminent threat of injury to either a law enforcement official or a member of the public”

แปลได้ความว่า “โดยหลักแล้วกระสุนยางควรใช้เฉพาะการยิงโดยตรงที่เล็งไปที่ท้องส่วนล่าง หรือขาของผู้ก่อความรุนแรง และเฉพาะเมื่อเห็นว่าจะเกิดภยันตรายต่อเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย หรือต่อสมาชิกคนหนึ่งคนใดของสังคม” ว่าง่ายๆ สหประชาชาติกำหนดเงื่อนไขในการใช้กระสุนยางไว้สองข้อคือ #หนึ่ง #จะต้องเล็งต่ำไปที่ท้องส่วนล่างหรือขา ของผู้ก่อความรุนแรง จะยิงส่งเดชไม่ได้ และ #สอง ใช้กระสุนยาง #เฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายที่กำลังเกิดกับเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายหรือประชาชน เท่านั้น

แต่การใช้กระสุนยางในการควบคุมฝูงชนที่ผ่านๆ มา และล่าสุดที่ #ดินแดง ในช่วงสองสามวันมานี้ จากภาพที่เห็นทางสื่อ เห็นได้ชัดว่ามีการยิงแบบประทับบ่าที่ไม่ได้เล็งต่ำหรือเล็งขา นั่นหมายความว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ #ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของสหประชาชาติ ครับ

แน่นอนว่า #ผู้ชุมนุมควรต้องชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. #ก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงเช่นกัน เพราะหน้าที่คือ #ควบคุมฝูงชน ไม่ใช่ไปตีกับผู้ชุมนุม

ต้องไม่ลืมว่า คฝ.ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ชุมนุม แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลให้การชุมนุมเป็นไปโดยเรียบร้อย ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้นมาก็ต้องใช้มาตรการที่ละมุนละม่อมที่สุด หรือรุนแรงน้อยที่สุดในการลดความรุนแรงลงมาจนสถานการณ์สงบลง ไม่ใช่เติมไฟเข้าไป และถ้าจำเป็นถึงขนาดต้องใช้กระสุนยาง ก็ใช้กระสุนยางได้ แต่ต้องยิงต่ำตามที่กล่าวไปข้างต้น

ถามต่อว่า แล้วใครต้องรับผิดชอบต่อการยิงกระสุนยางประทับบ่าแบบนี้ คำตอบคือ นอกจากท่าน ผบ.ตร.แล้ว ก็คือคนที่อยู่เหนือท่าน ผบ.ตร. ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรี เพราะตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ #นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านนายกรัฐมนตรีจึงต้องรับผิดชอบในการบังคับบัญชาให้ คฝ. ใช้กระสุนยางโดยยิงต่ำ ไม่ใช่ผิดกติกาประทับบ่ายิงสูงอย่างนี้ครับ

โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเมื่อ ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมมาชุมนุมประท้วงท่าน ท่านจึงย่ิงต้องดูแลรับผิดชอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องในการควบคุมฝูงชน หาไม่แล้วจะกลายเป็นว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเครื่องมือในการปกป้องอำนาจตนเอง ดังที่คนจำนวนมากเข้าใจกันเช่นนั้นครับ”

ด่วน! ศาลพิพากษาจำคุก ‘ปารีณา’ คุก 8 เดือน คดีหมิ่นช่อ

ศาลพิพากษาจำคุก ปารีณา เป็นระยะเวลา 8 เดือน และ ปรับอีก 6.6 หมื่น คดีหมิ่นช่อ และ ธนาธร เอี่ยวระเบิดกรุงเทพฯ รอลงอาญา 2 ปี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ หรือเอ๋ อดีตส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เดินทางมายัง ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก หลังศาลนัดอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ คดีหมิ่นประมาทหมายเลขดำ อ.2043/62 จากกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือช่อ โฆษกคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ปารีณา เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทหมิ่นผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

จากกรณีที่ เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 62 น.ส.ปารีณา ได้โพสต์ข้อความว่าร้าย น.ส.พรรณิการ์ โจทก์ โฆษกพรรคอนาคตใหม่ขณะนั้น และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดยกล่าวหาว่าทั้งสองมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเหตุระเบิดในหลายพื้นที่ของกรุงเทพ รวมไปถึงเหตุระเบิดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ซึ่งล้วนเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย โดยทางศาล อาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 พิพากษาจำคุก น.ส.ปารีณา จำเลย 1 ปี ปรับ 100,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 66,666 บาท ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ขณะที่น.ส.ปารีณา ยื่นอุทธรณ์

ต่อมาศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาศาลอุทธรณ์เห็นชอบเเล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก น.ส.ปารีณา จำเลย 1 ปี ปรับ 100,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 66,666 บาท ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า